ในปัจจุบันนี้คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เทคโนโลยีเปลี่ยนอนาคตมนุษย์ 10 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร โลกจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน รวมถึงสิ่งที่เราเคยเห็นจากภาพยนตร์ที่พูดถึงอนาคตพร้อมสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำนั้นจะมีอะไรที่เป็นไปได้บ้าง หลายเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นจนเกิดความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าที่รวดเร็ว จะมีเทคโนโลยีไหนที่น่าสนใจบ้างในบทความนี้ไปดูกันเลย
โครงข่ายอินเทอร์เน็ตดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต 6G ความเร็วสูง

เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตคือเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่แท้จริง โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสารกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้ว สองเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่กำลังจะมาเปลี่ยนอนาคตภายใน 10 ปีข้างหน้าที่น่าจับตามองก็คือ
Satellite Internet โครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม นี่คือเทคโนโลยีที่ทำให้คนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมนอกโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับความเร็วที่มากขึ้น สิ่งนี้จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์คือ
-ทุกคนทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จริงแม้ในบริเวณที่ไม่มีเสาสัญญาณ
-ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจ่ายค่าบริการอินเทอร์เน็ตในราคาที่ถูกลงหรืออาจจะไม่ต้องจ่ายเลย
-การสื่อสารทั่วทุกมุมโลกเป็นไปได้จริง
-ผู้ขาดโอกาสและประเทศด้อยพัฒนาสามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และการศึกษาได้
-ช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายเรื่องโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ “ไม่จำเป็นต้องซื้อซิมโทรศัพท์สำหรับสื่อสารในต่างประเทศอีกต่อไป”
อินเทอร์เน็ตดาวเทียมเป็นโครงการที่สองมหาเศรษฐีอันดับต้นของโลกอย่าง Elon Musk และ Jeff Bezos กำลังแข่งขันกันพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นจริง โดย Elon Musk ได้ก่อตั้ง Starlink โดยดำเนินการปล่อยดาวเทียมสู่อวกาศไปแล้วกว่า 1,500 ดวงทั่วโลก และเปิดให้คนที่สนใจจองบริการนี้แล้วในราคา 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
กระแสตอบรับของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมเป็นไปในทางที่ดีมาก แม้ในช่วงเริ่มต้นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมอาจยังต้องใช้งบประมาณในการเข้าถึง แต่ในอนาคตจะต้องมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

6G Internet อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
อีกหนึ่งเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่จะพัฒนาควบคู่กับอินเทอร์เน็ตดาวเทียมคือ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 6G ที่มีความเร็วกว่า 5G ถึง 100 เท่า (ดาวน์โหลดข้อมูล 1 Terabit/วินาที) ซึ่งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะเข้ามาแก้ปัญหาของมนุษย์ในหลายด้านและช่วยพัฒนาให้เทคโนโลยีอื่นๆ ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
แก้ปัญหาเรื่องความเร็วของอินเทอร์เน็ต – ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างลื่นไหลและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้การทำงานทางไกลและการประชุมทางไกลสามารถทำได้อย่างสะดวกมากขึ้นด้วย อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นจะสามารถรองรับเทคโนโลยีโฮโลแกรมฉายภาพสามมิติในการประชุมได้
ส่งเสริมเทคโนโลยีทางการแพทย์ – ทำให้การผ่าตัดทางไกล (Telemedicine) มีความแม่นยำมากขึ้น
เทคโนโลยีที่ใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตในการดำเนินระบบอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) จะสามารถใช้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่คนรู้จักกันมานานแล้วและเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์เราอย่างมากในช่วง 50 ปีนี้ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานยังเข้าไม่ถึง และกลุ่มคนจำนวนมากที่ยังมีปัญหาเรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ไม่เพียงพอจากข้อจำกัดของค่าใช้จ่าย
คุณลองจินตนาการดูว่าจะสะดวกขนาดไหนหากทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในทุกพื้นที่ แม้ในพื้นที่ทุรกันดารที่ไม่สามารถติดตั้งเสาสัญญาณหรือสายอินเทอร์เน็ตได้ ด้วยต้นทุนราคาที่ถูกลง จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ใน 1 นาที
Edge Computing และ Cloud ประมวลผลข้อมูลไร้ฮาร์ดแวร์

Edge และ Cloud คือ ระบบประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ของเครื่องเพื่อประมวลผล ทำให้เราสามารถใช้งานโปรแกรม ระบบ หรือเก็บข้อมูลเหล่านั้นได้ทันทีจากอุปกรณ์ใดก็ได้
ความแตกต่างของ 2 สิ่งนี้ คือ Cloud จะต้องส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อประมวลผลและส่งข้อมูลกลับมาทำให้ใช้เวลามากกว่า ส่วน Edge จะส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อประมวลผลข้อมูลและสามารถส่งกลับมาได้เลยทำให้ใช้เวลาน้อยลง นอกจากนี้ การส่งข้อมูลไปมาระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นจะยิ่งสอดคล้องกับเทคโนโลยี Internet of Things ลักษณะการส่งข้อมูลที่แตกต่างกันมีผลต่อต้นทุนค่าใช้จ่าย ประกอบกับการใช้พลังงานในการส่งสัญญาณด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องประเมินวัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานให้เหมาะสม
Cloud Computing เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและใช้กันมานานโดยได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นระบบการทำธุรกรรมหรือใช้บริการระบบในโลกออนไลน์อย่าง Internet Banking, Social Media และ Email ระบบการทำงานบน Cloud อย่าง Document Online, Program Online ที่ใช้ทำงาน ระบบการจัดเก็บข้อมูลบนไดรฟ์ เป็นต้น
Edge Computing เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจ มีการนำมาใช้งานบ้างแล้วในระบบ Smart Home และอุปกรณ์ Smart Device ข้อดีของ Edge Computing คือการช่วยลดเวลาในการรับส่งข้อมูล ประหยัดพื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์ และยกระดับความปลอดภัยของมูลได้
สองสิ่งนี้จะเข้ามาเปลี่ยนอนาคตอย่างไร? ระบบประมวลผลข้อมูลนี้จะส่งผลอย่างมากต่อระบบธุรกิจองค์กร เพราะสามารถนำระบบการทำงานด้านต่างๆ เข้ามาอยู่ในโลกออนไลน์ได้ส่งผลให้การทำงานแบบ Remote Working เป็นไปได้มากขึ้น ในอนาคตทุกคนอาจนั่งทำงานจากที่ไหนก็ได้เป็นปกติ นอกจากนี้ ระบบเหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้สำหรับการติดตั้งโปรแกรมซอฟต์แวร์ต่างๆ และค่ายใช้จ่ายสำหรับสเปคคอมพิวเตอร์ที่สูงพอเพื่อรองรับโปรแกรมต่างๆ
จินตนาการดูว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์สเปคสูงสำหรับเล่นเกมออนไลน์หรือไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเกม โปรแกรมการทำงานใดๆ อีกต่อไป เพราะสามารถใช้ระบบ Edge Computing ประมวลผลข้อมูลแทนได้
สุดท้ายนี้คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับ เทคโนโลยีเปลี่ยนอนาคตมนุษย์ 10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตของมนุษย์มากขึ้นและมอบโอกาสดีๆ ให้กับมนุษย์อีกหลายคน หรืออาจจะส่งทั้งผลดี และผลเสียตามมาก็ได้ แล้วคุณล่ะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงมากน้อยเพียงใดลองตั้งคำถามแล้วมาวิเคราห์กันดูนะ